ปลูกโกโก้ดีไหม ?

โกโก้คือพืชที่เป็นที่มาของช็อกโกแลต แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนักเท่ากับที่ทุกคนรู้จักช็อกโกแลต การปลูกโกโก้ดีไหม แล้วปลูกในไทยได้ไหม หลายๆคนจึงอาจจะยังสงสัยในจุดนี้ วันนี้เราจึงขอนำข้อมูลมาเล่าให้คุณลองพิจารณาดูกันค่ะ
เวลานึกถึงช็อกโกแลต คนส่วนใหญ่อาจจะนึกถึงประเทศในแถบยุโรปอย่างเบลเยี่ยม สวิสเซอร์แลนด์ หรือฝรั่งเศส แต่รู้ไหมคะ จริงๆแล้วช็อกโกแลตไม่ได้มาจากประเทศเหล่านี้และประเทศเหล่านี้ก็ไม่มีพื้นที่ปลูกโกโก้เป็นของตัวเองด้วย ต้องอาศัยการนำเข้าทั้งหมด พื้นที่ที่สามารถปลูกต้นโกโก้ซึ่งเป็นที่มาของช็อกโกแลตได้คือพื้นที่ในแถบเส้นศูนย์สูตรช่วงระหว่างเส้นรุ้งที่ 20 องศาเหนือ ถึง 20 องศาใต้ หรือเรียกอีกชื่อว่าแถบเข็มขัดเส้นศูนย์สูตร (Equatorial Belt) และพื้นที่นี้ก็รวมถึงประเทศไทยด้วย
จริงๆแล้วในพื้นที่หลายๆจังหวัดในประเทศไทยก็มีการปลูกโกโก้อยู่แล้ว เช่น นครศรีธรรมราช ชุมพร สุราษฎร์ธานี เป็นต้น เนื่องด้วยกรมวิชาการเกษตรได้มีการส่งเสริมการปลูกต้นโกโก้เพื่อแซมในสวนมะพร้าวทั้งในภาคใต้และภาคตะวันตกมาตั้งแต่ช่วงปี 2538 และมีการวิจัยสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ในประเทศ เป็นสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตดีและทนทานต่อโรคที่รู้จักกันในนามสายพันธุ์ลูกผสมชุมพร1
ในแต่ละปี ความต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์โกโก้หรือช็อกโกแลตในไทยมีมูลค่าสูงถึง 7,000 ล้านบาท ต่อปี แต่ประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศมากกว่า 95% แม้ว่าประเทศไทยจะมีพื้นที่ปลูกและมีศักยภาพสามารถปลูกผลผลิตเหล่านี้ได้เองก็ตาม จุดนี้จึงถือเป็นหนึ่งในโอกาสสำหรับพืชพันธุ์ชนิดนี้

โดยข้อดีของการปลูกโกโก้ ก็อย่างเช่น

  • โกโก้เป็นพืชที่ปลูกง่าย ชอบน้ำ แสงแดดและอากาศแบบร้อนชื้นซึ่งตรงกับสภาพพื้นที่ในประเทศไทย
  • ต้นโกโก้อาศัยร่มเงาจากไม้อื่นในช่วงที่เจริญเติบโตจึงสามารถปลูกแซมพืชเศรษฐกิจอื่นๆที่ให้ร่มเงาเล็กน้อยได้  เช่น ต้นมะพร้าว ต้นกล้วย ช่วยให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุดในที่ดินการเกษตร
  • ใช้เวลาปลูก 2-3 ปีก็เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตรุ่นแรกได้ และหากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมก็สามารถออกดอกและให้ผลได้ตลอดทั้งปี รวมถึงสามารถให้ผลผลิตต่อเนื่องไปได้ยาวนาน 20-30 ปี
  • ผลโกโก้มีเปลือกที่หนา การเคลื่อนย้ายผลโกโก้ที่สุกแล้วไปแปรรูปต่อหรือส่งขายจึงสามารถทำได้สะดวก ไม่ต้องกลัวการบอบช้ำ
  • ผลผลิตโกโก้โดยเฉพาะเมล็ดแบบแห้งนั้นเป็นที่ต้องการสูงทั้งในอุตสาหกรรมอาหาร (ใช้เพื่อการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตแบบต่างๆ) และอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง (ใช้ไขมันโกโก้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางประเภทต่างๆ)
แต่หลายๆคนก็อาจจะยังกังขาเรื่องคุณภาพผลผลิตในประเทศไทยและตลาดที่รองรับ…. 
ดังนั้น เรามาทำความเข้าใจกันก่อนเกี่ยวกับผลผลิตโกโก้จากสวนที่ซื้อขายกันในตลาด โดยหลักๆแล้ว ผลผลิตจากสวนโกโก้ที่มีการซื้อขายกันจะแบ่งเป็น 2 แบบ คือแบบผลสด และแบบเมล็ดแห้ง โดยแบบเมล็ดแห้งจะได้ราคาเฉลี่ยต่อกิโลกรัมสูงกว่าผลสดถึงประมาณสิบเท่า (ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยการลงแรงและเวลาในส่วนของการหมักและตากเมล็ด)
หากต้องการได้ผลผลิตโกโก้ที่ได้ราคาดีและเป็นที่ต้องการของตลาด นอกจากเรื่องการปลูกแล้วเกษตรกรจึงควรศึกษาเกี่ยวกับการแปรรูปเมล็ดที่ได้คุณภาพด้วยเพื่อต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ หากมีการแปรรูปเมล็ด ก็จะช่วยลดความเสียหายจากการเน่าเสียของผลสดที่มีช่วงเวลาหลังการเก็บเกี่ยวจำกัดอีกด้วย
จริงๆแล้ว คุณภาพของโกโก้ ไม่ได้เน้นที่สายพันธุ์แต่เน้นที่การควบคุมคุณภาพการปลูกในพื้นที่เดียวกันและกระบวนการแปรรูปเมล็ดโกโก้อย่างการหมักและตากแห้งที่ได้คุณภาพ  เช่นเดียวกับผลผลิตไวน์และกาแฟที่ได้ราคาสูงซึ่งสอดคล้องกับหลักการ Single Origin หรือการที่ผลผลิตที่นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่อๆไปนั้นมีที่มาจากแหล่งปลูกเดียวกัน โดยเมล็ดโกโก้แบบ Single Origin นี้กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เห็นได้จากกระแสคราฟต์ช็อกโกแลตในประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น รวมถึงในไทย ผู้ผลิตช็อกโกแลตแบบคราฟต์ทั้งหลายต่างก็พยายามเสาะแสวงหาแหล่งเมล็ดโกโก้ที่ได้คุณภาพและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในด้านกลิ่นและรสชาติรวมถึงแหล่งที่ปลูก
ช่วงหลังมานี้ ในประเทศไทยเองก็เริ่มมีกระแสการเกิดผู้ผลิตช็อกโกแลตรายย่อยซึ่งนิยมใช้ผลผลิตในประเทศมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตที่ได้คุณภาพทัดเทียมต่างประเทศ เป็นการช่วยรองรับและส่งเสริมมูลค่าผลผลิตโกโก้ในประเทศอีกทาง
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าโอกาสและช่องว่างในการพัฒนายังมีอยู่มาก และสามารถทำได้หากเกิดการร่วมมือและส่งเสริมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน รวมถึงตัวเกษตรเองด้วย

ติดตาม โปรโมชั่นเด็ด! และกิจกรรมดีๆจาก Chocolasia

Follow us via Line and Facebook.